นักแปล ล่าม (ญี่ปุ่น, เกาหลี)

BRAND'S BRAIN CAMP

นักแปล ล่าม (ญี่ปุ่น, เกาหลี)

ผู้แปลภาษาพูดที่ใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ เพื่อให้คน 2 ฝ่ายสามารถสื่อสารเข้าใจตรงกัน โดยมีล่ามเป็นคนกลาง

Translator_pana_c47f37b2fc

ล่ามเป็นภาพลักษณ์แรกที่ทีมงานอีกฝ่ายเห็น จำเป็นต้องมีทักษะครอบคลุมด้านการสื่อสาร สามารถประสานงาน บางครั้งอาจต้องช่วยไกล่เกลี่ยให้สถานการณ์ราบรื่นและงานดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว

อาจแบ่งล่ามที่แปลภาษาพูดได้ 2 ประเภท คือ 

  1. ล่ามพูดพร้อม คือล่ามที่ฟังแล้วแปลทันที เช่น ล่ามที่นั่งใกล้ๆ ประธานในที่ประชุม ที่เมื่อได้ยินผู้เข้าประชุมพูดอะไร ล่ามพูดพร้อมจะต้องแปลให้ประธานฟังแทบจะในเวลาที่ผู้พูดกำลังพูดอยู่ เพื่อให้การสนทนาลื่นไหล 
  2. ล่ามพูดตาม คือล่ามที่ฟังคำพูดจนจบ เตรียมสักพัก แล้วค่อยแปล เช่น ล่ามศิลปิน ล่ามนักกีฬา

ขึ้นอยู่กับแต่ละประเภทงานหรือธุรกิจของงานที่ว่าจ้าง บางงานล่ามจะต้องไปถึงสถานที่นัดหมายเพื่อเตรียมตัวก่อน บางงานล่ามสามารถไปแล้วเริ่มทำงานได้เลย โดยทั่วไปแล้วงานล่ามอาจมีขั้นตอนการทำงานดังนี้

  1. รับโจทย์ รับทราบขอบเขตงาน 
  2. บางงานอาจต้องเตรียมตัวหาข้อมูลเพิ่ม เช่น คำศัพท์เฉพาะ หรือข้อมูลผลิตภัณฑ์สินค้าที่เกี่ยวข้องกับงาน 
  3. ทำหน้าที่ล่ามแปลภาษา ในฐานะตัวกลางเพื่อทำให้สองฝ่ายคุยกันเข้าใจ
  4. แม้จะหมดเวลาตามตารางเวลาทำงานแล้ว แต่ล่ามอาจจะออกจากงานไม่ได้ทันที ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เช่น มีการไปกินข้าวกันต่อ ล่ามก็ควรต้องไปด้วย 
  5. รับทราบผลการทำงาน ขึ้นอยู่กับผู้ว่าจ้าง เพราะบางครั้งล่ามอาจได้รับผลประเมินความคิดเห็นจากผู้ว่าจ้างเพื่อพัฒนาตัวเองต่อไป

เนื่องจากล่ามต้องทำงานตามที่ผู้ว่าจ้างกำหนด ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับแต่ละงาน ว่าคนที่เราจะทำหน้าที่ล่ามให้ เขาประกอบอาชีพอะไร รวมถึงขึ้นอยู่กับว่าล่ามเลือกทำงานในองค์กรหรือเป็นล่ามอิสระ (ฟรีแลนซ์) ตัวอย่างอาชีพต่างๆ ที่ล่ามอาจต้องทำงานร่วมด้วย มีดังนี้

  1. หากเป็นล่ามทำงานประจำในโรงงานบริษัทญี่ปุ่น (ส่วนมากมักเป็นโรงงานรถยนต์) ล่ามอาจจะได้ทำงานร่วมกับ ช่าง วิศวกร Supplier ต่างๆ เช่น บริษัทผลิต ยาง กระจก
  2. หากรับงานจากบริษัทหางานล่าม จะขึ้นอยู่กับว่าบริษัทนั้นทำสัญญากับบริษัทอะไร เช่น หากมีสัญญากับทีมฟุตบอล งานที่ล่ามจะได้รับก็จะได้รับผิดชอบเป็นล่ามให้นักบอลหรือเจ้าหน้าที่ในทีมฟุตบอล
  3. หากทำงานเป็นล่ามในการจัดคอนเสิร์ตศิลปินต่างประเทศ ก็อาจได้ทำงานร่วมกับช่างไฟ ช่างเสียง ทีมงานอาชีพต่างๆ ที่ทำงานร่วมกับศิลปินเพื่อจัดคอนเสิร์ต ล่ามที่มีความเชี่ยวชาญหรือมีประวัติการทำงานที่เหมาะสมจะได้รับการพิจารณาและคัดเลือกให้เป็นล่ามดูแลศิลปิน
  4. หากทำงานเกี่ยวกับสถานพยาบาล อาจได้ทำงานร่วมกับพยาบาล หมอ เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล
  • หากเป็นล่ามที่เป็นพนักงานประจำในบริษัทก็ทำงานในเวลาและสถานที่ตามที่บริษัทกำหนด โดยนอกจากงานล่ามแล้ว อาจได้รับมอบหมายงานอื่นๆ ด้วย เช่น งานประสานงาน งานจัดเตรียมเอกสาร ฯลฯ 
  • การทำงานฟรีแลนซ์ อาจได้ทำงานในสถานที่หลากหลาย บางงานอาจมีระบุระยะเวลา อาจมีบางงานที่ใช้เวลาทำงานเพียงไม่กี่ชั่วโมง เช่น การเซ็นสัญญา 2 ชั่วโมง เพื่อเป็นล่ามในการติดต่อธุรกิจ แต่เวลาทำงานจริงอาจจะไม่ได้เป็นไปตามเวลานั้น เพราะอาจจำเป็นต้องคอยเตรียมตัวให้พร้อมเสมอ
  1. การแก้ปัญหาและสถานการณ์เฉพาะหน้าได้
  2. การรักษาคุณภาพมาตรฐานของงาน กล้าถามในสิ่งที่ไม่รู้เพิ่มเติม เพื่อเอาไปอธิบายให้ข้อมูลได้ถูกต้อง ครบถ้วน
  3. มีไหวพริบในการสื่อสาร ไม่ทำให้เกิดบรรยากาศที่อึดอัด
  4. การฟังและจับประเด็น
  5. ทักษะการสื่อสาร การเลือกคำ เพื่อสร้างความเข้าใจทั้งสองฝ่ายให้ตรงกัน ต้องรู้จักเลือกคำให้ตรงกับคำพูดของผู้พูดให้มากที่สุด และไม่ใส่อารมณ์ส่วนตัว
  6. มีความรู้ในภาษา
    1. ภาษาหลักของตนเอง
    2. ภาษาอังกฤษ
    3. หากมีความรู้ในภาษาที่ 3 ขึ้นไป ก็จะเป็นข้อได้เปรียบมากขึ้น
  7. มีระดับความรู้ของภาษาที่ใช้ เช่น
    • ภาษาญี่ปุ่นมีระดับ N1-N5
    • ภาษาเกาหลีมีการสอบวัดระดับความรู้ ความสามารถทางด้านภาษาเกาหลีเรียกว่า TOPIK (Test of Proficiency in Korean)
    • ภาษาเยอรมัน มีระบบการวัดที่เรียกว่า Goethe-Zertifikat ที่มีระดับความสามารถตั้งแต่ A1-C1
  8. หากมีความชอบหรือความสนใจเฉพาะด้าน ก็อาจเสริมให้การทำงานล่ามในด้านนั้นๆ สนุกและทำได้ดี เช่น สนใจด้านความงามก็จะทำงานล่ามที่เกี่ยวกับด้านเครื่องสำอางหรือศัลยกรรมได้ราบรื่น
  9. อาชีพล่ามไม่จำเป็นต้องมีใบประกอบวิชาชีพ (นอกจากการทำงานในบางภาษาและบางบริบท เช่น สถานฑูต อาจจำเป็นต้องมีใบการสอบใบอนุญาต) และไม่จำเป็นต้องเรียนจบคณะด้านภาษามาโดยตรง ขอเพียงสามารถสอบวัดระดับภาษาได้ตามเกณฑ์และมีประสบการณ์ตามที่ผู้ว่าจ้างกำหนด
  10. ใฝ่รู้และพัฒนาตัวเองเสมอ ล่ามต้องคอยปรับตัวและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น คอยเรียนรู้และทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาของภาษา ภาษาวัยรุ่น คำแสลง คำที่ใช้ในแต่ละยุคสมัย เป็นต้น
  • การเติบโตในสายอาชีพ (Career Path) และค่าตอบแทนของล่ามที่ทำงานประจำและล่ามฟรีแลนซ์ มีข้อแตกต่างกัน คือ
  1. ล่ามที่ทำงานประจำ ตำแหน่งสูงสุดอาจเป็นหัวหน้าล่าม มีทีมล่ามเป็นของตัวเอง เป็นหัวหน้ากลุ่ม เงินเดือนอาจเริ่มที่ 25,000 บาท (กรณีมีความรู้ภาษาที่ 3) อาจได้รับเงินเดือนสูงขึ้นหากมีความรู้ภาษาในกลุ่มประเทศยุโรป หากเป็นบริษัทญี่ปุ่นอาจได้เงินเดือนแต่ละไม่มากแต่อาจทดแทนด้วยการได้เงินโบนัสหลายเดือน บางบริษัทอาจให้เงินตอบแทนค่าระดับคะแนนภาษา เช่น ได้เงินเดือนเพิ่ม เมื่อสอบ TOEIC ได้คะแนนสูงตามเกณฑ์ที่บริษัทตั้งไว้  โดยบางบริษัทอาจมอบหมายงานอื่นๆ นอกจากงานล่ามให้ทำด้วย เช่น งานติดต่อประสานงาน งานเอกสาร หรืองานแปล
  2. ล่ามฟรีแลนซ์ จะได้ทำงานหลากหลายรูปแบบ แต่อาจไม่มีความมั่นคง และไม่มีขั้นการเติบโตในอาชีพ แต่จะเป็นการสะสมประสบการณ์และประวัติการทำงานมากกว่า โดยรายได้อาจคิดเป็นชั่วโมง เป็นวัน หรือเป็นงาน แล้วแต่ลักษณะงานและการว่าจ้าง เช่น ล่ามที่ทำงานในศาล อาจได้ผลตอบแทนชั่วโมงละ 5,000 บาท ล่ามรับงานในงานแต่งงานอาจได้ค่าตอบแทนชั่วโมงละ 1 หมื่นบาท ส่วนล่ามที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลแบบสอบถาม มักคิดค่าตอบแทนเป็นจำนวนแบบสอบถามที่ทำได้ เช่น ชุดละ 500 บาท เป็นต้น
  • คุณค่าที่ได้จากอาชีพนี้คือ การได้เรียนรู้วัฒนธรรมผ่านการพูดคุย การสื่อสาร ได้มิตรภาพและความสัมพันธ์จากผู้คนที่พบระหว่างการทำงาน
  • ความท้าทายในการเป็นล่าม เช่น ด้านสุขภาพ ที่บางงานต้องวิ่ง ต้องเดินเยอะ หรือต้องเตรียมตัวพร้อมทำงานและพร้อมแก้ปัญหาเฉพาะหน้าตลอดเวลา
  • ในขณะที่บางงานอาจได้รับมอบหมายให้ทำนอกเหนือจากที่ผู้ว่าจ้างเคยตกลงไว้ ล่ามจะต้องประเมินสถานการณ์หน้างานเพื่อตัดสินใจว่าจะรักษาความสัมพันธ์ที่ดีและอำนวยความสะดวกสบายให้ทุกคนเพิ่มจากขอบเขตงานเดิมหรือไม่
  • อาชีพล่ามอาจไม่สามารถเลือกคนที่เราจะไปเป็นล่ามให้ได้ หากเจอคนที่เข้าใจ ปฏิบัติตัวดีกับล่าม ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่หากเจอพฤติกรรมที่ไม่ดี จะถือเป็นเรื่องท้าทายที่ล่ามจำเป็นต้องรักษาจุดยืนการเป็นกลาง รักษามาตรฐานการทำงานของตนเอง และมีวิธีผ่อนคลายตัวเองเมื่อเสร็จงาน
  • ปัจจุบันมีการพัฒนาเทคโนโลยี AI ที่มีความสามารถในการเก็บข้อมูลคำศัพท์ เป็นเครื่องมือช่วยในการแปล ซึ่งต่อไปอาจมีความแม่นยำมากขึ้น แต่อาชีพล่ามที่เป็นคน ก็ยังสามารถเห็นและเข้าใจสีหน้าของผู้พูด เข้าใจความรู้สึกจากคำพูด น้ำเสียง ท่าทาง รวมถึงสามารถเลือกคำที่พูดออกไปแล้วจะส่งผลให้คนที่ได้ยินรู้สึกอย่างไรได้ ซึ่งนับว่ายังเป็นความสามารถที่ AI ยังไม่สามารถทำได้

มัธยมศึกษาตอนปลาย

  • เปิดรับทุกสายการเรียน วุฒิจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 หรือเทียบเท่า

 

ปริญญาตรี เช่น

  • คณะมนุษยศาสตร์ สาขาวิชาภาษาญี่ปุ่นธุรกิจ
  • คณะศิลปศาสตร์ สาขาวิชาภาษาญี่ปุ่นและการสื่อสาร
  • คณะอักษรศาสตร์ สาขาวิชาภาษาญี่ปุ่น
  • คณะมนุษยศาสตร์ สาขาวิชาภาษาเกาหลี
  • วิทยาลัยศิลปศาสตร์ สาขาวิชาภาษาและวัฒนธรรมเกาหลี
  • คณะอักษรศาสตร์ สาขาวิชาภาษาเกาหลี
  • คณะใดก็ได้ แต่สามารถสอบวัดระดับภาษาได้ตามเกณฑ์และมีประสบการณ์ตามที่ผู้ว่าจ้างกำหนด

 

ปริญญาโท เช่น

  • หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต. สาขาวิชาญี่ปุ่นศึกษา
  • หลักสูตรอักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการแปลและการล่าม

 

ปริญญาเอก เช่น

  • หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาภาษาญี่ปุ่น

 

*ข้อมูล ณ ปี 2567