แพทย์ผิวหนัง

BRAND'S BRAIN CAMP

แพทย์ผิวหนัง

แพทย์เฉพาะทางที่มีความเชี่ยวชาญในการวินิจฉัย รักษา และให้คำปรึกษาด้านโรคผิวหนัง เส้นผม เล็บ ตลอดจนดูแลสุขภาพผิว โดยผ่านการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์และอบรมต่อยอดด้านตจวิทยา (Dermatology)

แพทย์ผิวหนัง
  • ตรวจวินิจฉัยและประเมินอาการผู้ป่วย ทำหน้าที่ซักประวัติผู้ป่วย ตรวจสภาพผิวหนัง เส้นผม หรือเล็บ และวินิจฉัยโรคโดยใช้ความรู้ทางตจวิทยา ทั้งในแง่ของลักษณะทางคลินิก การใช้เครื่องมือ หรือการตรวจทางพยาธิวิทยาผิวหนัง
  • รักษาโรคผิวหนังทั่วไปและเฉพาะทาง ให้การรักษาโรคผิวหนังเรื้อรัง ด้วยวิธีใช้ยา การจี้เย็น (cryotherapy) หรือการผ่าตัดเล็ก
  • ให้บริการเวชสำอางและหัตถการทางผิวหนัง ดำเนินหัตถการเพื่อความงามและการฟื้นฟู เช่น เลเซอร์เพื่อรักษาฝ้า กระ รอยแดง รอยแผลเป็น การฉีดโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ ร้อยไหม หรือการดูแลรูขุมขนและสิว รวมถึงการทำหัตถการเฉพาะทาง
  • ให้คำปรึกษาด้านการดูแลผิวและโภชนาการที่เกี่ยวข้อง แนะแนวการดูแลสุขภาพผิว เส้นผม และเล็บในชีวิตประจำวัน รวมถึงปัจจัยกระตุ้นโรคที่ควรหลีกเลี่ยง โดยคำนึงถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิต การบริโภคอาหาร และการดูแลสุขภาพโดยรวม
  • ร่วมงานด้านวิชาการและการวิจัย ทำหน้าที่เป็นอาจารย์แพทย์หรือแพทย์ฝึกอบรมในคณะแพทยศาสตร์ ร่วมจัดอบรม สอนนักศึกษาแพทย์ และพัฒนาองค์ความรู้ผ่านการทำวิจัยด้านตจวิทยา เพื่อเผยแพร่ในวารสารทางวิชาการหรือเวทีสัมมนา
  1. ตรวจเบื้องต้นและรับผู้ป่วย ตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นจากเวชระเบียน พิจารณาอาการเบื้องต้นก่อนเข้าตรวจ พร้อมวางแผนพูดคุยกับผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพ
  2. ซักประวัติและประเมินอาการทางผิวหนัง พูดคุยกับผู้ป่วยเพื่อซักประวัติสุขภาพ ประวัติการใช้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ พฤติกรรมที่อาจกระตุ้นโรค และตรวจร่างกายเพื่อดูสภาพผิว เส้นผม เล็บ หรือจุดผิดปกติอื่น ๆ อย่างละเอียด
  3. วินิจฉัยและจัดทำแผนการรักษา ประเมินจากข้อมูลและการตรวจร่างกาย เพื่อวินิจฉัยโรค แล้วเสนอแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เช่น การใช้ยา การทำเลเซอร์ การผ่าตัดเล็ก การฉีดยาเฉพาะจุด หรือแนะนำการปรับพฤติกรรม
  4. ให้ข้อมูลและติดตามผลการรักษา อธิบายแนวทางการรักษา ความเสี่ยง และคาดการณ์ผลลัพธ์แก่ผู้ป่วย รวมถึงนัดหมายติดตามผลเพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงและปรับแผนหากจำเป็น
  5. จัดทำเอกสารและเวชระเบียน บันทึกข้อมูลการตรวจ การรักษา ผลการติดตาม รวมถึงรายงานผลตรวจเพิ่มเติม (หากมี) เพื่อใช้ในงานสถิติ งานบริหาร หรือการศึกษาวิจัย
  6. พัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีทางการแพทย์ ศึกษาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในด้านตจวิทยา เช่น เลเซอร์ชนิดใหม่ ตัวยารักษาใหม่ หรือเทคนิคการฟื้นฟูสภาพผิว พร้อมถ่ายทอดให้บุคลากรในทีม เช่น แพทย์ประจำบ้าน นักศึกษาฝึกงาน หรือพยาบาลผิวหนัง
  1. พยาบาล
  2. เภสัชกร
  3. เจ้าหน้าที่การเงินและค่ารักษา
  4. เจ้าหน้าที่อื่น ๆ ในโรงพยาบาล
  5. แพทย์สาขาอื่น ๆ 
  6. นักเทคนิคการแพทย์
  7. เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ
  8. ฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์ (สำหรับคลินิกเอกชน)
  • สถานที่ทำงาน โรงพยาบาลของรัฐและเอกชน, คลินิกเฉพาะทางด้านผิวหนัง หรือศูนย์ความงามทางการแพทย์ 
  • เวลาทำงาน โดยทั่วไปทำงานวันจันทร์ถึงศุกร์ เวลา 08:30–17:00 น. แต่ก็ขึ้นอยู่กับนโยบายของสถานพยาบาลแต่ละแห่งที่อาจมีการเปิดคลินิกนอกเวลา (ช่วงเย็นถึงค่ำ) หรือมีเวรตรวจในวันเสาร์–อาทิตย์ 
  • นอกจากนี้ อาจจะต้อง on-call สำหรับกรณีฉุกเฉิน เช่น ผู้ป่วยแพ้ยาอย่างรุนแรง, ผิวหนังติดเชื้อเฉียบพลัน, หรือกรณีผู้ป่วยโรคผิวหนังเฉพาะทาง เช่น มะเร็งผิวหนังที่ต้องดูแลอย่างเร่งด่วน
  1. ความเชี่ยวชาญด้านตจวิทยา (Dermatology) มีความรู้ลึกด้านโรคผิวหนัง เส้นผม และเล็บ รวมถึงระบบภูมิคุ้มกันที่เกี่ยวข้อง เช่น โรคแพ้ภูมิตนเอง โรคผิวหนังเรื้อรัง และโรคติดเชื้อทางผิวหนัง
  2. ทักษะด้านหัตถการเฉพาะทางผิวหนัง สามารถทำหัตถการ เช่น การฉีดโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ การเลเซอร์ผิวหนัง การตัดชิ้นเนื้อเพื่อส่งตรวจ และการผ่าตัดผิวหนังในกรณีจำเป็น เช่น มะเร็งผิวหนัง
  3. ทักษะด้านเวชสำอางและความงาม (Aesthetic Dermatology) มีความเข้าใจในศาสตร์ความงาม เช่น โครงสร้างผิว กลไกการเกิดริ้วรอย ฝ้า กระ และสามารถเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
  4. ทักษะการสื่อสารทางคลินิก อธิบายผลการวินิจฉัยและแนวทางรักษาให้ผู้ป่วยเข้าใจได้ง่าย มีความสามารถในการสร้างความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแพทย์กับผู้ป่วย
  5. ความเข้าใจในจรรยาบรรณวิชาชีพและกฎหมายทางการแพทย์ ต้องปฏิบัติตามจรรยาบรรณอย่างเคร่งครัด เข้าใจข้อกฎหมายเกี่ยวกับการรักษา การให้ข้อมูลผู้ป่วย และการใช้เทคโนโลยีเวชสำอางอย่างปลอดภัย
  6. ความสามารถด้านการสอนและงานวิชาการ หากปฏิบัติงานในโรงเรียนแพทย์ จะต้องสามารถอบรมแพทย์ประจำบ้าน นักศึกษาแพทย์ และบุคลากรในทีม พร้อมทั้งสามารถจัดทำเอกสารวิชาการหรืองานวิจัย
  • ผลตอบแทน 
    • รายได้เฉลี่ยทั่วประเทศแพทย์ผิวหนังในประเทศไทยมีรายได้ประมาณ 150,000–480,000 บาทต่อเดือน ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ พื้นที่ทำงาน และประเภทของสถานพยาบาล
    • โบนัสประจำปี: โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 160,000 บาทต่อปี หรือคิดเป็น 3–5% ของรายได้รวม
    • รายได้เพิ่มเติมในคลินิกเอกชน ในกรณีทำงานในคลินิกเวชสำอางหรือศัลยกรรมความงาม อาจได้รับ ค่าคอมมิชชั่น หรือส่วนแบ่งรายได้จากหัตถการ เช่น เลเซอร์ ทรีตเมนต์ หรือโบท็อกซ์ เป็นต้น
  • โอกาสและการเติบโตของอาชีพแพทย์ผิวหนัง
    • ก้าวสู่ตำแหน่งบริหารในโรงพยาบาล เริ่มต้นจากแพทย์เฉพาะทางประจำสถาบัน สามารถเติบโตสู่ตำแหน่งหัวหน้าหน่วยตจวิทยา หรือผู้อำนวยการคลินิกเฉพาะทางภายในโรงพยาบาล
    • ต่อยอดเฉพาะทาง สามารถศึกษาต่อเฉพาะทางเพิ่มเติม เช่น เวชสำอาง, มะเร็งผิวหนัง, ตจวิทยาในผู้สูงอายุ หรือเวชศาสตร์ฟื้นฟูผิว
    • เปิดคลินิกส่วนตัว มีโอกาสสร้างแบรนด์หรือเปิดคลินิกความงามเฉพาะทาง 
    • ร่วมงานกับองค์กรด้านเทคโนโลยีการแพทย์ มีโอกาสทำงานร่วมกับบริษัทผลิตยา เครื่องมือแพทย์ หรือกลุ่มบริษัทด้าน R&D ที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ในวงการผิวหนัง
    • มีโอกาสในระดับนานาชาติ แพทย์ผิวหนังที่มีความเชี่ยวชาญสูงและใช้ภาษาอังกฤษได้ดี มีโอกาสเข้าร่วมโครงการวิจัย หรือฝึกอบรมระยะสั้นกับสถาบันในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น หรือยุโรป
  • ความท้าทายของอาชีพแพทย์ผิวหนัง
    • เส้นทางวิชาชีพที่ยาวต้องใช้เวลาเรียนต่อเฉพาะทางตจวิทยาอีก 4 ปี หลังจบแพทย์ทั่วไป (6 ปี) 
    • เป็นอาชีพที่มีการแข่งขันสูง 
    • แรงกดดันจากภาพลักษณ์วิชาชีพ แพทย์ผิวหนังมักถูกมองว่าเชี่ยวชาญด้านความงามและสุขภาพผิว หากให้คำแนะนำหรือให้สัมภาษณ์ในสื่อ อาจถูกตรวจสอบอย่างละเอียดจากสาธารณะ รวมถึงต้องมีภาพลักษณ์ที่ดีเหมาะกับการเป็นแพทย์ผิวหนัง
    • ภาระงานนอกเวลาและเวร แม้จะมีเวลาทำงานปกติ แต่กรณีฉุกเฉิน เช่น ผื่นแพ้รุนแรงหรืออาการลุกลามเฉียบพลัน แพทย์ผิวหนังอาจต้องเข้าดูแลนอกเวลาทำการ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเวลาส่วนตัว
    • ความเสี่ยงด้านกฎหมายและจริยธรรม มีความเสี่ยงต่อผลลัพธ์ที่ไม่ตรงตามความคาดหวังของผู้ป่วย หากผิดพลาดอาจนำไปสู่การฟ้องร้องทางแพ่งหรือวินัย
  • ช่องทาง Youtube ที่เกี่ยวกับอาชีพแพทย์ผิวหนัง